ขอสวัสดีทักทายพี่ๆน้องๆเพื่อนๆที่กำลังอ่านบทความอยู่ ครั้งที่แล้วได้พูดเรื่องของ Sampling Rate วันนี้ก็จะมาพูดถึงเรื่อง Bit Depth ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับ Sampling Rate แต่ถ้าใครที่ยังไม่ได้อ่านเรื่อง Sampling Rate อยากให้กลับไปอ่านก่อนนิดนึงครับ เพื่อจะได้ไม่สับสน ^^
อ่านเรื่อง Sampling Rate กดนี้เลย
ก่อนจะพูดถึง Bit Depth นั้นก็ขอให้ทำความเข้าใจนิดนึงตรงที่ในหนึ่งคลื่นเวฟ ในหนึ่งคลื่นเสียงนั้นจะมีระยะห่างของจุดเสียงสูงสุดกับจุดเสียงต่ำสุด ซึ่งค่าความต่างนี้จะถูกคิดออกมาเป็นค่าเฉลี่ย โดยทางเทคนิคเรียกว่า Dynamic นั้นเอง เอาภาษาบ้านๆน่าจะ ความดังเบา แล้วกันครับ อิอิ เอาภาษาอังกฤษเหมือนเดิมดีกว่าครับ เพราะว่า แปลไทยแล้วจะงงเข้าไปใหญ่ ต่อเลยแล้วกันครับ ถ้ามี Bit Depth มาก ก็หมายความว่าในคลื่นเสียงแต่ละลูกสามารถมีความต่างของเสียงสูงสุดและต่ำสุดได้มาก ซึ่งถ้าเรากำหนด Bit Depth น้อยนั้น เมื่อเราทำการบีบอัดฟาย ยอดของคลื่นที่เลย Bit Depth ที่เราตั้งไว้จะถูกลดลงทำให้เสียคุณภาพ และ โทนของเสียงไปซึ่งสามารถฟังและเห็นข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน และจะมีผลต่อ เสียง ทุ้ม และ แหลม ของแหล่งกำเนิดเสียงเป็นอย่างมาก
ภาพแสดง Bit Depth |
ผมได้หารูปจาก Google มาเป็นตัวอย่าง จะสังเกตุได้ชัดเจนว่าขนาด 1 bit เส้นกราฟจะมีความแข็งเก็บ Dynamic ได้ไม่ดี และ ต่อมา 2 และ 4 bit ก็จะมีการโค้งของ คลื่นที่สวยงามขึ้นซึ่งทำให้ได้โทนที่เหมือนแหล่งกำเนิดมากขึ้น ส่วน 16 bit จะทำได้ดีที่สุดเพราะขนาดของ Bit Depth นั้นมากที่สุดครับ
ปล. ผมเชื่อว่าในอนาคตต้องมี Bit Depth ที่เพิ่มมากขึ้นแน่นอนจะทำให้ Digital ใกล้เคียงกับการทำเพลงแบบ Analog เพิ่มมากขึ้นไปทุกที ^^ ไปแล้วครับ สวัสดีครับ